ประโยชน์ของลูทีน
ลูทีนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชนิดหนึ่งซึ่งถูกสังเคราะห์โดยพืช เป็นรงควัตถุที่มีสีเหลืองหรือสีส้ม ซึ่งอยู่ในกลุ่มแคโรทีนอยด์ พบได้ในผักที่มีสีเขียวเข้ม ผักและผลไม้บางชนิดที่มีสีเหลืองและสีส้ม รวมทั้งในไข่แดงด้วย ถึงแม้จะยังไม่มีข้อแนะนำสำหรับปริมาณลูทีนที่ควรบริโภคในแต่ละวัน แต่การได้รับลูทีนวันละ 6 มิลลิกรัมจากอาหารถือว่าน่าจะเพียงพอ อาหารที่มีลูทีนสูง ได้แก่ ไข่แดง ข้าวโพด องุ่นแดง กีวี ผักใบเขียว ส้มและน้ำส้ม แครอต

สำหรับผลไม้จะพบว่ามีลูทีนอยู่ที่เปลือกมากกว่าที่เนื้อผลไม้ สำหรับลูทีนในผักนั้น มีมากที่สุดในผักกระเฉด รองลงมา ได้แก่ ผักชีล้อม ผักเหลียง ผักพูม ผักตำลึง ใบมันปู ผักกูด ยอดมะม่วงหิมพานต์ ยอดมะระหวาน เสม็ดชุน
– บทบาทของลูทีนที่มีต่อร่างกาย

บทบาทของลูทีนที่มีต่อร่างกายคือ สมบัติการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระของลูทีนจะช่วยป้องกันเซลล์ไม่ให้ถูกทำลายด้วยสารอนุมูลอิสระต่างๆ ที่เกิดขึ้นในกระบวนการเมแทบอลิซึมของร่างกาย นอกจากนี้ การที่ลูทีนเป็นโมเลกุลที่ละลายในไขมัน ไม่ละลายในน้ำ และเป็นรงควัตถุที่พบในเรตินาในดวงตาของมนุษย์ โดยจากแหล่งงานวิจัยพบว่า ลูทีนอาจมีบทบาทสำคัญต่อการทำงานของสายตาในเรื่องของการมองเห็น
นอกจากนี้ ยังช่วยป้องกันการเกิดต้อกระจกและโรคสายตาเนื่องจากความเสื่อมของเซลล์ในผู้สูงอายุ โดยที่ ลูทีนอาจช่วยทำลายสารอนุมูลอิสระที่อาจเกิดขึ้นในดวงตา ทำให้คนเรามองเห็นเป็นปกติ ผลจากงานวิจัยทางระบาดวิทยาพบว่า ลูทีนอาจช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งที่ลำไส้ใหญ่ โดยพบว่าทั้งผู้ชายและผู้หญิงที่รับประทานอาหารที่มีลูทีนสูง มีแนวโน้มที่จะเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ลดลง และการได้รับลูทีนจากอาหารมากขึ้น อาจจะช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
– ลูทีนกับแสงสีฟ้า

แสงสีฟ้าคือแสงที่เรามองเห็นอยู่ทุกวัน ถือเป็นหนึ่งในสามของแสงขาวจากแสงอัลตร้าไวโอเล็ต สามารถมองเห็นได้และมีพลังงานสูง แสงสีฟ้านั้นมาจากดวงอาทิตย์ และมาจากอุปกรณ์ต่างๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้นโดยเฉพาะจากหลอด แอลอีดี ทั้งหลอดไฟแอลอีดีตามบ้านเรือน หรือแม้แต่ไฟหน้ารถและท้ายรถ อุปกรณ์ดิจิตอล จอทีวีจอคอมพิวเตอร์ โน๊ตบุค จอโทรศัพท์ แทบเล็ต ทุกอย่างที่กล่าวมานั้นสามารถปล่อยแสงสีฟ้าออกมาได้ทั้งหมด ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นกลางแจ้งหรือในร่ม ก็ยังสามารถเจอแสงสีฟ้าได้ตลอดเวลา ทั้งนี้สีฟ้าที่เป็นโทษ จะอยู่ในช่วงคลื่นที่ 415-455 นาโนเมตร
หากรับในปริมาณที่มากเกินไป แสงสีฟ้าจะส่งผลเสียโดยตรงกับดวงตา เพราะเป็นแสงที่มองเห็นได้ จึงสามารถทะลุผ่านเลนส์ตาและกระจกตาเข้าไปถึงจอประสาทตาได้ หากได้รับเป็นเวลานานจะส่งผล คือ อาการตาล้า เพราะแสงสีฟ้าที่เราจ้องมองอยู่มีความสว่างมากทำให้ดวงตาต้องทำงานอย่างหนัก อาการตาแห้ง เพราะอุปกรณ์ที่เราจ้องมองส่วนใหญ่จะมีขนาดเล็กทำให้เราต้องจ้องมองมากกว่าปกติ และจอประสาทตาอาจเสื่อมได้ เนื่องจากแสงสีฟ้าสามารถทะลุเข้าไป และทำลายเซลล์รับแสงในจอประสาทตาได้ และอาจเป็นปัจจัยสำคัญของการสูญเสียการมองเห็นได้นั่นเอง
การป้องกันคือ รับประทานอาหารที่มีลูทีน ลูทีนทำหน้าที่ช่วยดูดซับแสงสีฟ้าก่อนที่จะส่งผลเสียต่อดวงตาได้ ซึ่งมีผลวิจัยมากมายที่แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่มีระดับลูทีนในเลือดสูง จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมและต้อกระจกน้อยกว่าคนทั่วไป และมีการมองเห็นที่ดีกว่า
ลูทีนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชนิดหนึ่งซึ่งถูกสังเคราะห์โดยพืช เป็นรงควัตถุที่มีสีเหลืองหรือสีส้ม ซึ่งอยู่ในกลุ่มแคโรทีนอยด์ พบได้ในผักที่มีสีเขียวเข้ม ผักและผลไม้บางชนิดที่มีสีเหลืองและสีส้ม รวมทั้งในไข่แดงด้วย ลูทีนมีบทบาทสำคัญต่อการทำงานของสายตาในเรื่องของการมองเห็น นอกจากนี้ ยังช่วยดูดซับแสงสีฟ้าจากอุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ต่างๆ ที่ส่งผลเสียให้เกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม
เครดิตภาพจาก pixabay.com
#การดูแลสุขภาพเบื้องต้น #รักสุขภาพ #วิธีดูแลสุขภาพ #ลดน้ำหนัก #กีฬา #ประโยชน์ของลูทีน